เมื่อฉันยังเยาว์
คุณก็เคยเป็นเด็ก ผมก็เคยเป็นเด็ก
ความไร้เดียงสาเมื่อครั้งยังเด็กมันคือความทรงจำที่ผมยังเก็บไว้ระลึกถึงเสมอ
เมื่อครั้งยังเป็นเด็กคุณเคยตั้งคำถามกับตัวเองหรือป่าวครับ ว่าคุณฝันอยากที่จะเป็นอะไร คิดที่จะเป็นอะไร
ผมคนหนึ่งที่ตั้งคำถามกับตัวเองแบบนั้นแล้วผมก็ตอบตัวเองได้ ว่าผมฝันอยากที่จะเป็นอะไรคือผมอยากที่จะเป็น ครู ตำรวจ และแพทย์ ความฝันเหล่านี้มักจะได้คำชมจากผู้ใหญ่เสมอ เมื่อคุณตอบว่า คุณอยากเป็นแพทย์ ประมาณว่า ว้าว ! เก่งมากลูก
แต่สำหรับความคิดของผมผมคิดว่าการค้นหาตัวเองต่างหากที่จะบอกได้ว่าตัวเองเหมาะที่จะเป็นอะไรมาก กว่า อาจจะเป็นสิ่งที่บอกได้ว่าแท้จริงแล้วตัวคุณเองต้องการสิ่งไหนแน่ และผมก็ได้ค้นพบว่าผมไม่เหมาะกับสิ่งไหน เมื่อครั้งนั้นความหวังที่จะเป็นแพทย์ของผมต้องพังทลายลงไป เมื่อผมพบว่าอาชีพนี้มันไม่เหมาะกับผมเลย มันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่การบริจาคเลือดครั้งแรกของผม หากคุณเคยบริจาคครั้งแรกคุณอาจจะรู้สึกเหมือนกับผมเลยก็ได้มันเหมือนเรากำลังเดินขึ้นเขืองให้หมอเชือดยังไงยังงั้ง ตอนแรกผมก็พอทำใจได้ แต่พอผมเผอิญมองไปเห็นคุณป้าคนหนึ่ง ที่หมอกำลังเจาะเลือดที่ต้นแขนอยู่ ผมมองไปที่หน้าป้าคนั้นดูแกหน้าซีดมากเลย แล้วผมก็เลยถามตัวเองในใจว่า
แมรงกูจะรอดหรือป่าววะเนี้ย.
มันทำให้ผมปอดมากๆ แล้วผมก็สังเกตอยู่นานจนกระทั้งป้าคนนั้นบริจาคเลือดเสร็จแล้วป้าคนนั้นก็ลุกออกจากเตียงเดินไปได้ประมาณ 3-4 ก้าว แล้วก็หมดสติล้มลงไปกับพื้น หัวป้าคนนั้นแตกเลือดเปื้อนพื้น ภาพนั้นมันทำให้ผมกลัวมากจนตัวผมสั่น แล้วหลังจากการบริจากครั้งนั้นของผมก็รู้ว่าผมเป็นคนกลัวเลือด และเหตุการณืนี้ก็ยังบอกอีกว่าผมไม่เหมาะกับการที่จะเป็นแพทย์หรืออาชีพหมอที่ผมใฝ่ฝันเลย ผมก็แค่ได้ปลอบใจตัวเองแต่ไม่เป็นไรเพราะผมยังคงมีอีกตั้งสองความฝันที่ยังคงเหลืออยู่
“แค่เลือกเดินตามเส้นทางของหัวใจตัวเองสิ่งที่คุณเลือกมันจะเลือกคุณเอง”
ความล้มเหลวบนความขยัน
การเริ่มต้นก้าวสำคัญเมื่ออยู่ ม.ปลาย มันคือช่วงที่คุณต้องอาศัยความขยัน
มันคือช่วงที่คุณต้องทำอะไรชักอย่างเพื่อตัวคุณเอง
สำหรับผม ชีวิต ม.ปลายมันคือช่วงการตัดสินใจครั้งที่สองของผมว่าผมจะเลือกทางเดินชีวิตอย่างไร
การตัดสินใจครั้งแรกของผมคือการที่ผมจะต้องเลือกทางเดินช่วง ม.3 ว่าผมจะเรียน สายสามัญ หรือสายอาชีพ
แต่ผมก็เลือกในสิ่งที่ผมชอบคือการเรียนสายสามัญในวิทย์-คณิตแต่พอก้าวขึ้นมา ม.ปลายแล้ว (ม.5 เทอม2)มันคือสิ่งที่ผมจะต้องทำตามความฝันที่ผมตั้งไว้เมื่อครั้งยังเด็ก ในตอนนั้นมีระบบการศึกษามาใหม่ คือมีการสอบ GAT/PATเป็นการสอบเพื่อที่จะเอาคะแนนไปเอ็นเข้ามหาลัยต่างๆและผมก็คิดว่ามันคงอยากมากๆสำหรับการสอบนี้ ผมก็ได้สร้างความตั้งใจไว้ว่า “กรู ต้องทำให้ได้คะแนนมากให้ได้เพื่ออนาคตและพ่อแม่” และถามว่าผมรู้จัก ไอ้คำว่าGAT/PATหรือป่าว ผมตอบได้ว่า “ไม่”
ฃ
เหลือเวลาแค่1เดือนก็จะสอบแล้ว ผมจึงอุทิศเวลาที่เหลือให้กับการอ่านหนังสือ ภายในห้องคนเดียว แม้แต่งานบ้านก็ไม่ยอมทำช่วยแม่ แต่ผมก็อธิบายให้แม่เข้าใจ ตอนนั้นผมต้องกลายเป็นซูปเปอร์ไซย่าให้ได้ภายใน1เดือน
ผมทุ่มเทเป็นอย่างมากับการอ่านหนังสือ พอใกล้ถึงวันสอบมันก็เริ่มทำให้ผมอยากพิสูจน์ตัวเองมากเท่านั้นกับการใช้เวลา1เดือนของผม ยิ่งใกล้วันสอบผมก็ยิ่งอ่านหนักขึ้นทุกวัน จนดูเหมือนผมไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไร
พอมาถึงวันที่สอบผมก็ไปสอบ แล้วหลังจากนั้นประมาณ1เดือนให้หลังประกาศผลสอบผมแทบล้มทั้งยืนคะแนนสอบผมได้ไม่ถึงครึ่งเลยครับ
ความรู้สึกตอนนั้นมันดูเหมือนกับว่า1เดือนของผมสูญป่าว ผมแทบจะบ้ากับผลสอบแต่พอผมได้ยินข่าวการสอบ
GAT/PATรอบสองและสามมาใหม่และเมื่อผมได้ยินอย่างนั้นอีกครั้งมันทำให้ชีวิตผมเริ่มกลับมาสดใสอีกครั้งการสอบGAT/PATรอบสองและสามมันคือพระเจ้าสำหรับผมครับและผมก็ตั้งใจอีกครั้งที่จะทำมันให้ได้
แต่ครั้งนี้ผมกลับเข้าใจว่า โอกาสเป็นของคนที่พร้องที่สุด ไม่ใช่การที่จะมาอ่านหนังสือแค่เดือนสองเดือน
ผมจึงเริ่มที่จะแบ่งเวลาอ่านหนังสือทุกวัน และผมจะไม่หยุดอ่านมันจนกว่าผมจะสิ้นชีวิต
หลังจากการอ่านหนังสือของผมและหลังจากการสอบGAT/PATครั้งที่สองและสามของผม
ผลที่ได้มันกลับเกินความคาดหมาย.......
“การอ่านคือการท่องเที่ยวไปทั่วโลก โดยมีตัวหนังสือเป็นมคุเทศน์”
ความฝันผกผันกับความจริง
ช่วงเวลาการตัดสินใจครั้งที่สองของผมได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
เมื่อคุณเลือกที่จะทำ คุณต้องรักในสิ่งที่คุณเลือก
เช่นเดี่ยวกับผมความฝันที่เหลืออยู่มีเพียงสองอย่างเท่านั้นคือ ตำรวจ และครู
ผมเลือก ที่จะทำตามความฝันคือการเรียนคณะวิทยาศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยขอนแก่น ผมจึงทุ่มเทเป็นอย่างมากับการเข้ามหาลัยแห่งนี้ และแล้วความหวังของผมมันก็พังทลายลงอีกครั้งเมื่อผมรู้ว่าผมเอ็นไม่ติด มหาวิทยาลัยขอนแกนผมแทบอยากตายครับ ผมจึงใช้ชีวิต ม.6เทอม2 อย่างซังกะตาย เหมือนกับโลกนี้มีแต่ความสิ้นหวัง
ด้วยการให้กำลังใจจากพ่อแม่ ครู และเพื่อน ผมจึงอยากที่จะสู้เพื่อความฝันอีกครั้ง และที่สำคัญผมบังเอิญไปดูหนังสั้นเรื่องนึงที่ดูแล้วมันทำให้ผมซึงมาก
มันเป็นเรื่องของนกkiwi ขนาดมันรูว่าไม่มีทางบินได้แต่มันก็ยังทุ่มเททำเพื่อความฝันของมัน
หนั้งสั้นเรื่องนี้คือเรื่อง kiwi คุณสามารถดูได้ตามอินเตอร์เน็ต
และมันก็ทำให้ผมกลับมาสู้อีกครั้งในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย และผมก็มองที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีแห่งนี้เป็นที่แรกผมจึงตั้งใจว่ายังไงผมจะต้องเข้าให้ได้ ผมตัดสินใจเสี่ยงลงวิชาเดียวเลยคือฟิสิกส์ หลังจาการสอบเส็จแล้วก็ประกาศ ผมแทบร้องไห้ผมสอบติด ผมดีใจเป็นอย่างมาก ที่ผมสอบเข้าได้
และที่ดีใจเป็นที่สุดก็คือพ่อกับแม่ของผมครับ ผมภูมิใจเป็นอย่างมาก กับการสอบเข้าได้ของผม
แม้ใครจะมองว่าราชภัฏอุดรเป็นแค่มหาลัยเล็ก แต่มันเป็นจุดจบก้าวที่สองของผมและต่อก้าวที่สามให้กับผม
“เพื่อคุณหรือเพื่อใคร ก้าวแรกและก้าวต่อไปเพื่อใครหลายๆคน”
และการก้าวเข้ามาสู่มหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานีของผมก้าวแรกที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้น
แต่พอได้มาสัมผัสแค่เพียงอาทิตย์แรกผมรู้สึกด้ถึงความอบอุ่นที่ได้จากรุ่นพี่มีให้รุ่นน้อง
เหมือนกับว่าเราคือครอบครัวเดียวกัน
แต่พอผมอยู่นานไปผมก็ยังรู้อีกว่าในราชภัฎอุดรแห่งนี้ไม่ใช่แค่การสอนให้ความรู้แต่ยั้งสอนประสบการณ์หลายอย่างแก่ผมผมคิดว่า การมาอยู่ในรอบรั้วแห่งนี้ เปรียบเหมือนหม้อใบหนึ่งที่ใส่อาหารหลากหลายรสลงไปในหม้อแล้วนำไปผ่านวิธีการต่างๆแล้วออกมาในรูปรสเดียวกันก็เหมือนกับการที่ผมมาอยู่ราชภัฎอุดรแห่นี้มันทำให้ผมรู้ว่าคนเรามีนิสัยต่างกันควรปรับตัวเข้ากับ มันคือวิชาชีวิต
การก้าวมาสู่ความฝันของผมในราชภัฎอุดร ช่าวยให้ผมได้บทเรียนหลายอย่างและแยกคำว่านักเรียนและนักศึกษาออกจากกันได้ คือการเป็นนักเรียนเปรียบเหมือนนกที่ยังคงคอยเหยื่อจากแม่นก
เหมือนกับนักเรียนที่ยังคงคอยกับการรอรับความรู้จากครู
นักศึกษาเปรียบเหมือนหมาล่าเนื้อที่คอยตามล่าเนื้อนั้นเองเหมือนกับนักศึกษาที่ต้องศึกษาค้นค้วาด้วยตัวเอง
และความฝันและความคิดของผมที่หลากหลายได้เกิดขึ้นแล้วกับที่แห่งนี้ ราชภัฎอุดรธานี
“การเรียนรู้ไร้ขอบเขต การแสวงหาไร้พรมแดน”.
ok ป่าวครับ มีอารายก็ติชมได้นะคร๊าป
นายทศพล มูลเพ็ญ
canda
|